
อมาเตระสุ
อมาเตระสุ คือเทพีแห่งดวงตะวัน และนับเป็นเทพที่มีความสำคัญมากที่สุดในกระบวนเทพชินโตของญี่ปุ่น
พระนามเต็มของอมาเตระสุ คือ อมาเตระสุ โอ มิกามิ หมายความว่า “เป็นผู้สูงสุดที่ทำให้สวรรค์โซติซ่วง”
กำเนิดของเทพีอมาเตระสุค่อนข้างประหลาดตามแบบเทพ ๆ ทั่วไป พระนางเป็นลูกสาวจองอิซานากิ – บรรพบุรุษฝ่ายชายก็จริง แต่ก็เกิดจากดวงตาข้างซ้ายของพ่อ หลังจากที่ได้รับล้างหน้าล้างตาตอนหลับชึ้นมาจาก “โยมะ” ดินแดนแห่งความตาย
ตอนนั้นอมาเตระสุไม่ได้เกิดขึ้นเพียงองค์เดียว ซูกิโยมะ เทพแห่งดวงจันทร์ก็เกิดด้วย โดยมาขากตาข้างขวานั่นเอง
หลังจากที่อมาเตระสุเกิดแล้ว อิซานากิก็บอกนางให้ไปปกครองที่ราบสูงแห่งสวรรค์ก่อนปลดสร้อยลูกปัดศักดิ์สิทธิ์ให้
เทพแห่งพายุ ซูซาโนะวู วึ่งเกิดจากจมูกของอิซานากิ เป็นลำดับต่อมา ได้ฟังพ่อกบอกกับพี่สาวดังนั้นก็รู้สึกโกรธเป็นกำลัง เพราะว่าท้าวเธอไม่ต้องการครองแผ่นน้ำอย่างเดีบวอย่างที่อิซานากิประกาศิต
ยิ่งกว่านั้นซูซาโนะวู ยังต้องการกลังลงไปอยู่ในโยมะกับอิซานามิผู้มีฐานะเป็นมาระดาอีกเสียด้วย อิซานากิผู้เป็นพ่อโกรธที่ลูกเทพไม่ทำตามคำสั้น จึงเนรเทศเขาไปจากอาณาเขจของพระองค์ แต่ว่าก่อนซูซาโนะวูจะจากไปจริง ๆ กลับแสดงความต้องการจะไปลาอมาเตระสุอย่างเป็นทางการเสียก่อนการแสดงความปรารถนาดีที่น่าแปลกใจแบบนี้ทำให้อมาเตระสุอดสงสัยไม่ได้ว่า ซูซาโนะวูคงต้องมีแผนจะชิงอาณาจักรของตนเป็นแน่ เธอจึงตระเตรียมการรบไว้ ถือคันศรและสะพายกระบอกลูกธนูเต็มอัตรา เมื่อน้องชายมาถึงเธอก็ควัดแกล่งคุนธนูท้าทาย กระทืบแผ่นดินใต้อุ้งเท้าไหวสะท้าน
ซูซาโนะวูเห็นดังนั้นก็อ้างว่าเขามาดี ไม่ต้องการแย่งชิงอำนาจของพี่แต่ประการใด
อันที่จริงแล้ว เทพแห่งลงคงอยากได้อาณาเขจที่พี่สาวปกครองจริงย่างที่อมาเตระสุนึก แต่เขาก็มีเหลี่ยมพอตัวแทนที่จะลุกขึ้นมารบพุ่งกับพี่ เขาเสนอให้พิสูจน์ว่าใครจะมีพลังมากกว่ากัน โดยแข่งกันว่าใครจะสร้างเทพผู้ชายได้ก่อน อมาเตระสุก็รับคำท้า เธปเป็นฝ่ายเริ่มต้นโดยหักดาบของน้องชายเป็นสามท่อน เอาแผ่นเหล็กนั้นเข้าไปเคี้ยวในปากของนาง ค่อย ๆ ก่อรูป ในที่สุดหลายเป็นเอพธิดาสามนาง
ซูซาโนะวูเห็นดังนั้นก็คว้าสร้อยลูปปัดศักดิ์สิทธิ์ที่อมาเตระสุผูกผมและพันแขนเอาไว้มาเคี้ยว เม้ลูกปัดที่เทพแห่งสายลมบดด้วยฟันจะละเอียดกลายเป็นเทพบุตรห้าองค์ ซูซาโนะวูจึงประกาศว่าตนเป็นผู้ชนะ แต่เทพีอมาเตระสุไม่ยอม นางอ้างว่าเทพบุตรทั้งห้าองค์เกิดจากสร้องลูกปัดจองนาง ดังนั้นนางต้องเป็นผู้ชนะจึงจะถูก
ถึงขั้นนี้ซูซาโนะวูไม่ยองรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น อ้าวเธอเที่ยวเฉลิมฉลองชัยชนะทั่วไป ซ้ำยังสร้างความโกลาหลให้แก่โลกมนุษย์ด้วยการเบอกบานใจ เธอบันดาลให้เกิดลมพายุใหญ่พัดทุ่งข้างขางขาวนาวเสียวหาบ พัดน้ำให้ท่ามคูคลองระบาย สร้างความปั่นป่วนต่าง ๆ ที่ไม่มีใครห้ามได้ จนสุดท้ายบัลดาลสมพัดภลกหนังลูกม้าตัวหนึ่ง หอบมันลอยคว้างเข้าในในห้องโถงทอพ้าที่ทพอมาเตรุสุและบริวารกำนังนั่ทอผ้ากันอยู่ ภาพน่ากลัวของซากลูกม้าตัวนั้นถึงขนาดทำให้สาวสวรรค์บริวารของเทพีดวงอาทิตย์ตกใจตายไปคนหนึ่งอย่างน่าสงสาร ดัวอมาเตระสุถึงกับต้องหนีไปด้วยความกลัวและความโกรธเกรี้ยว
เทพีอมาเตระสุหนีไปซ่อนอยู่ในถ้ำ ทำให้โลกตกอยู่ในความมืดสนิท บรรดาเทพชั่วร้ายต่างก็ดีใจเป็นล้นพ้น เพราะความมืดเช่นนี้จะช่วยอำพรางให้พวกมันสามารถก่อความชั่วร้ายต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเห็น ทำให้ทวยเทพและมนุษย์ตกอยู่ในความเดือดร้อนทั่วหน้า
ทั้งเทพและมนาย์ต่างก็พยายามขอร้องเทพีแห่งดวงอาทิตย์ให้กลับมาส่องแสงดังเดิม แต่ไม่ว่าอย่างไร ๆ เทพีก็ยังคงนิ่งเฉยไม่ออกมาจากถ้ำ
วันคืนผ่านไปเทพแห่งสวรรค์พากันคิดกลอุบายต่าง ๆ นานาในที่สุดก็คิดอุบายได้ พวกเขาเลือกเอาไก่ตัวผู้ซึ่งขันก่อนรุ่งออรุณจะมาถึงและทำกระจกที่แขวนหินมีค่าไว้อย่างสวยงามเข้าอีกบานหนึ่ง จากนั้นก็เอาทั้งสองอย่างไปวางล่อไว้หน้าถ้ำทีอมาเตระสุซ่อนอยู่ แล้วขอให้เทพีอเมโนะ อูซูเมะ ขึ้นไปเต้นระบำบนถังไม้คว้าอย่าตรงนั้น
พอได้เวลา เทะต่าง ๆ ก็สั้งให้ไก่ขันและเทพีอูซูเมะเริ่มเต้นรำจังหวะการกระทืบเท้าของเธอทำให้เกิดเสียงตูม ๆ เร่งเร้าความสงสัย
ยิ่งเต้นเทพีอูซูเมะด็ยังสนุกสนานถึงขนาดค่อย ๆ ถอดผ้าออกทีละชิ้น เทพทั้งหลายที่ล้อมวงดูด็สงเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน เทพีอมาเตระสุระสุได้ยินเสียงครื้นเครงดังนั้นก็ชักจะสงสัย ค่อย ๆ แง้มหินหน้าถ้ำออกมาดู ทันใดเธอก็เห็นเงาอันงดงามของตัวเองในกระจกหน้าถ้ำ ทำให้เธอรูสึกมั่นใจมากขึ้น ความโกรธความน้อยใจมลายหายไป แต่มีความภูมิใจเต็มเปี่ยมจนทำให้เธอลอยขึ้นไปอยู่ที่เดิมบนท้องฟ้า โลกก็ได้แสงสว่างจากดวงตะวันอีกครั้งหนึ่ง
ตามตำนานยี่ปุ่นกล่าวกันอีกว่า อมาเตระสุและเหล่าบริวารของเธอมีหน้าที่ทอผ้าให้กับเทพเจ้าต่าง ๆ บนสวรรค์ แบะให้บรรดานักบอชผู้มีหน้าที่บูชาดวงอาทิตย์ มีบางตำนานเหมือนกันที่กล่าวว่า อมาเตระไม่ได้มีหน้าที่นั้น หากแต่พวกมนุษย์ผู้หณิงรุ่นแรกต่างหากมีหน้าที่ทอผ้าให้แก่จักรวาล และผ้าผืนนั้นก็ไม่เคยเสร็จ
อมาเตระสุอยู่ในตำนานความเชื่อของญี่ปุ่นมานาน จะกระทั่งปี ค.ศ. 1945 ก็กลาวมาเป็นเครื่องหมายสูงสุดของราชวงค์ญี่ปุ่นและกระจกที่ช่วยให้เธอเป็นความงามของตัวเอก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในนเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของราชวงค์ญี่ปุ่นด้วย